“น้ำตาล”สะสม ปัญหาทุกโรค
ตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1980 สารประกอบน้ำตาลพ่วงกับโปรตีน(AGE) ได้รับการรับรองว่าเป็นตัวการที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานแล้วก็นำมาซึ่งการชราของอวัยวะต่างๆ
สารประกอบน้ำตาลพ่วงโปรตีนนี้จะไปสะสมในเลนส์ตากระจกตา เรตินา ทำให้มีการเกิดต้อกระจกนั่นเอง
สารนี้เกาะกับเยื่อกรองของไต เกาะกับปลายประสาท เกาะกับเยื่อบุข้างในของเส้นโลหิต ล้วนส่งผลให้เกิดความเสื่อมโทรมภาวะของอวัยวะต่างๆกันเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานนั่นเอง
มีการศึกษาและทำการค้นพบว่าโปรตีนที่พร้อมรับแก่การจับกุมตัวกับโมเลกุลของน้ำตาล เป็นโปรตีนคอลลาเจน (collagen)นั่นเอง
คอลลาเจนน่าจะเป็นคำที่ผู้หญิงผู้รักความสวยงามรู้จักอย่างดีเยี่ยม แม้กระนั้นอย่าคิดเพียงว่าสารนี้อยู่ที่ผิวหนังแค่นั้น
คอลลาเจนมีอยู่ทั้งยังในกระดูก กระดูกอ่อน เอ็นแล้วก็ผิวหนังเมื่อไรที่คอลลาเจนจับกับน้ำตาลก็ทำให้เยื่อแต่ละส่วนหย่อนคุณภาพ ดังพวกเราจะมองเห็นได้ว่า คนสูงวัยผิวพรรณเสื่อมความยืดหยุ่น ในเวลาที่คนเจ็บโรคเบาหวานแม้ว่าจะยังไม่แก่แต่ว่าผิวพรรณก็หย่อนคุณภาพเร็วกว่าอายุอีกด้วย
โรเบิร์ต วัวห์น (Robert Kohn) พยาธิหมอมหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์น ตั้งข้อคิดเห็นไว้ว่า “โรคเบาหวานรีบการแก่เฒ่าให้เร็วขึ้น” ซึ่งข้อคิดเห็นนี้นับวันได้รับการยินยอมรับเยอะขึ้นเรื่อยๆเหตุเพราะการจับกุมของน้ำตาลกับโปรตีนคอลลาเจนนี้เองที่ทำให้การยืดหยุ่นตัวของเยื่อลดลง ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณ ข้อต่อเส้นเลือด รวมจนกระทั่งหัวใจ
ทดลองจินตนาการว่า เส้นโลหิตของคนวัยชายหนุ่มที่มีความยืดหยุ่นสูง เมื่อรับแรงบีบตัวของหัวใจ มันก็จะยืดหดได้เป็นการซึมซับแรงกดดันเลือดจากหัวใจ ทำให้ความดันโลหิตไม่ฉีดสูงมากขึ้น
แต่ว่าหากเส้นเลือดของคนชรา เมื่อขาดความยืดหยุ่นเพราะเหตุว่าคอลลาเจนจับกับน้ำตาลเอาไว้ เวลาหัวใจบีบเลือด เส้นเลือดที่แข็งไม่สามารถที่จะซึมซับแรงกดดันดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ ก็เลยทำให้ความดันในเส้นเลือดสูงมากขึ้นกว่าธรรมดา
นี่เป็นกลไกของการเกิดความดันโลหิตสูงนั่นเอง
และจากนั้นก็ส่งผลไปถึงเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ กำเนิดโรคหัวใจขาดเลือด
ถ้าหากการแข็งตัวของคอลลาเจนเกิดขึ้นที่ปอด ก็ทำให้ปอดย่อยสลาย
ถ้ากับข้อต่อ ก็ทำให้ข้อต่อเสื่อม เอ็นไม่ยืดหดได้สักเท่าไหร่
ทั้งสิ้นล้วนเป็นโรคเสื่อมจากการที่น้ำตาลเข้าจับกับคอลลาเจนทั้งนั้น และผิวพรรณของผู้หญิงที่ถูกใจรับประทานหวานด้วย
อีกขั้นตอนหนึ่งที่ชี้แจงว่า น้ำตาลพ่วงโปรตีนส่งผลให้เกิดโรคหัวใจโดยตรง ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า น้ำตาลพ่วงโปรตีนนี้ทำให้เกิดกรรมวิธีออกซิเดชั่นกับโมเลกุลของ LDL-Chol ดังนี้ โดยที่ไขมัน LDL-Chol เมื่อถูกออกสิไดซ์แล้ว มันก็จะจับกับฝาผนังเส้นเลือดซึ่งเป็นกรรมวิธีการแรกของการเกิดเส้นโลหิตแข็ง
เจ้าสาร LDL ที่ถูกออกสิไดซ์ตัวนี้จะไม่ยินยอมถูกกำจัดออกไปจากฝาผนังเส้นเลือดกล้วยๆเมื่อวัดดูเหมือนจะพบว่าคนคนนั้นมีภาวการณ์ LDL ในเส้นโลหิตสูงขึ้นมากยิ่งกว่าธรรมดา
รวมทั้งงานศึกษาเรียนรู้วิจัยก็ศึกษาและทำการค้นพบอีกว่า LDLมีความพร้อมเพรียงรับต่อการแทงบอลออนไลน์เกิดออกซิเดชั่นเมื่อกระทบกับอนุมูลอิสระ จะมีการพ่วงจับระหว่างโมเลกุลของโปรตีนหลายโมเลกุลโดยมีน้ำตาลเป็นตัวเชื่อม (กลัยเคชั่น) แนวทางการจับกับอนุมูลออกสิเจนอิสระนี้กำเนิดได้ทั้งยังกับส่วนที่เป็นโปรตีนรวมทั้งส่วนที่เป็นไขมันในโมเลกุลลัยโปโปรตีน ซึ่งเป็นเหมือนรถบรรทุกไขมัน LDL นั่นเอง
พวกเราจะเจอ LDL ที่ถูกออกสิไดซ์ไม่น้อยเลยทีเดียวในคนที่มีเส้นเลือดแข็งทั้งๆที่เป็นผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานรวมทั้งผู้มิได้เป็นโรคเบาหวาน
แล้วก็จะเจอ LDL ออกสิไดซ์ในก้อนไขมันด้ามจับแข็งอยู่ตรงฝาผนังเส้นเลือดนั่นเอง
มีความหมายว่าน้ำตาลพ่วงโปรตีนนำไปสู่เส้นโลหิตแข็งได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวานไหมเป็นโรคเบาหวานก็ตาม
Sweet Delicious Nibble Candy Food Sugar
เพื่อคนเดินดินสามัญรู้เรื่องหัวข้อนี้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นักวิชาชีวเคมีจะชี้แจงให้ฟังว่า กรรมวิธีที่น้ำตาลพ่วงกับโปรตีน รวมทั้งกระบวนที่ LDL ถูกกระทบกับอนุมูลอิสระแล้วมีการออกซิเดชั่นขึ้นจนกระทั่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดเส้นโลหิตแข็ง
ภาพลักษณ์นี้เปรียบเหมือนไฟสุมอยู่ในระบบหมุนวนเลือดของพวกเรา ไฟยิ่งสุมอยู่นานแล้วก็ความร้อนยิ่งสูงก็ยิ่งจะมีผลให้กำเนิดความทรุดโทรมแก่เส้นเลือดเยอะขึ้นเรื่อยๆเพียงแค่นั้นและก็ขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้นได้ก็โดยอาศัยน้ำตาลในเลือดเป็นเชื้อเพลิง
เรื่องจริงข้อนี้นับวันจะเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าสโมสรเบาหวานที่อเมริกาสารภาพว่า “น้ำตาลไม่เพียงแค่เป็นเชื้อเพลิงสำหรับกรรมวิธีเคมีระยะสั้นเพียงแค่นั้น แต่ว่าน้ำตาลยังเป็นแหล่งเชื้อเพลิงระยะยาวที่สุมไฟให้มีการหมดสภาพของอวัยวะต่างๆอันเป็นภาวะแทรกซ้อนของการเป็นโรคเบาหวานในระยะยาวอีกด้วย”
ถึงนี้นักอ่านคงเริ่มตระหนักถึงอันตรายของน้ำตาลแล้วก็ผลพวงอันก่อเกิดความเสื่อมถอยภาวะของอวัยวะต่างๆอันเกิดขึ้นจากน้ำตาลในเลือดแล้ว
ความเสื่อมโทรมภาวะอันมีเหตุที่เกิดจากน้ำตาลนี้ ไม่เพียงแต่กำเนิดกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคอันมีเหตุมาจากการเผาไหม้ไม่ปกติเพียงแค่นั้น แต่ว่ากำเนิดกับมนุษย์เราทุกคนด้วย เอาง่ายๆว่า กรณีใดก็ตามที่มีน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงมากขึ้น โดยเฉพาะมักกำเนิดกับการกินหวาน ดื่มน้ำตาลฟอก รวมจนถึงดื่มน้ำตาลโมเลกุลคนเดียว (monosaccharide) ยกตัวอย่างเช่น เดกซ์โทรส หรือโมเลกุลคู่ (disaccharide) เป็นต้นว่าน้ำตาลซูโครสในน้ำอ้อย น้ำเชื่อม รวมทั้งอาหารหวานแบบต่างๆหรือเป็นน้ำตาลจากผลไม้ (fructose) อันอย่างเช่นการกินผลไม้ทุกประเภท รวมถึงน้ำผลไม้ด้วย
กลุ่มนี้ เมื่อรับประทานเข้าไปน้ำตาลจะถูกสลายตัวได้ง่ายสุดๆ มีการกระจายตัวอย่างเร็ว กำเนิดออกซิเดชั่นและก็กำเนิดอนุมูลอิสระตามมา
ในที่สุดก็กำเนิดขั้นตอนการน้ำตาลพ่วงโปรตีน นำมาซึ่งการสลายตัวของอวัยวะต่างๆอย่างเร็ว
เอาง่ายๆก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พวกเรารับประทานหวาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม ของหวานของว่าง ต่อให้ผลไม้ ล้วนแล้วแต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงมากขึ้น น้ำตาลที่เป็นเชิงคนเดียวจะถูกย่อยสลายอย่างเร็วมากมาย ก็ยิ่งทำให้มีการเกิดกรรมวิธีการเสื่อมของอวัยวะต่างๆยิ่งรวดเร็วทันใจขึ้น กลุ่มนี้เป็นเหตุให้เกิดเส้นโลหิตแข็ง ทำให้ความดันโลหิตสูง ก่อให้เส้นโลหิตหัวใจย่อยสลาย กำเนิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ถ้าสังกัดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ก็ทำให้เสี่ยงที่จะกำเนิดเส้นโลหิตสมองแตก ตีบ ตัน แปลงเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
ถ้าหากขึ้นอย่างช้าๆก็แปลงเป็นโรคอัลไซเมอร์ไปท้ายที่สุด
รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดและก็เห็นได้ชัดที่สุด ก็คือการย่อยสลายของผิวพรรณ กำเนิดรอยเท้ากาแล้วก็แก่เกินวัย
ด้วยเหตุฉะนี้ ความหวานก็เลยทำให้เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นความหวานประดิษฐ์ ดังเช่นว่า ของหวาน น้ำอัดลม น้ำหวานหรือหวานธรรมชาติได้แก่ น้ำผลไม้ รวมไปจนกระทั่งความหวานจากน้ำผึ้งก็ตาม ก็ล้วนเป็นเหตุก่อให้เกิดโรคเสื่อมได้อย่างเร็วไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นโรคเบาหวานหรือเปล่าเป็นโรคเบาหวาน
กล่าวมาถึงเรื่องของน้ำผึ้ง เวลานี้ยังมีความรู้ความสามารถไม่ถูกอยู่มากมาย เรื่องความชื่นชอบ ufabet ดื่มน้ำผึ้งโดยหลายๆคนมีความรู้สึกว่า น้ำผึ้งเป็นความหวานอย่างธรรมชาติ รับประทานไปก็ไม่ได้รับอันตรายอะไร
ประเด็นนี้เป็นความรู้ผิดเป็นอย่างมาก
ตามที่เป็นจริงแล้วน้ำผึ้งก็คือน้ำตาลนั่นเอง เป็นน้ำตาลประเภทสองโมเลกุลด้วยเหมือนกัน เมื่อรับประทานเข้าแล้วหลังจากนั้นก็กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดกระบวนออกซิเดชั่น กำเนิดกรรมวิธีการน้ำตาลพ่วงโปรตีน แล้วมีการสลายตัวของเยื่อ น้ำผึ้งก็เลยไม่ใช่สิ่งอันควรจะชื่นชมมากมายไปกว่าน้ำตาลปกติ
จะมีดีกว่านิดหน่อยก็ตรงที่มีขี้ผึ้งเจืออยู่ด้วย ช่วยทำให้ถ่ายเพียงเท่านั้น
ผมก็เลยเสนอแนะอยู่เป็นประจำว่า น้ำผึ้งไม่ใช่ขนมกินเล่น จะให้ชัดก็ควรมองดูย้อนยุคกลับไปในยุคสามก๊ก ในขณะนั้นเวลาทำศึกทำสงคราม เมื่อตัดศรีษะนายทัพคู่ปรับได้ คนที่รบชนะจะเอาหัวแม่ทัพนั้นดองน้ำผึ้งไปเครื่องบรรณาการแก่นายจ้าง เนื่องจากเยื่อที่เป็นโปรตีนเมื่อดองลงในน้ำผึ้ง ก็กำเนิดขั้นตอนการน้ำตาลพ่วงโปรตีน จับกุมเป็นเยื่อแข็งไม่บูดไม่เน่าอีกต่อไป
น้ำผึ้งก็เลยถูกใช้เหมือนฟอร์มาลินในสมัยโบราณนั่นเอง
การแพทย์แผนจีน แผนไทย จะใช้น้ำผึ้งเพียงนิดหน่อยเพื่อปั้นยาลูกกลอน เมื่อรับประทานเข้าไปจะเป็นกระสายยาช่วยการดูดซึม ก็เพียงเท่านั้น
เพราะฉะนั้น น้ำผึ้งก็เลยไม่ได้มีไว้ชงรับประทานเล่นๆจะรังแกตนเองให้แก่เร็วซะเปล่าๆ
สารประกอบน้ำตาลพ่วงโปรตีนนี้จะไปสะสมในเลนส์ตากระจกตา เรตินา ทำให้มีการเกิดต้อกระจกนั่นเอง
สารนี้เกาะกับเยื่อกรองของไต เกาะกับปลายประสาท เกาะกับเยื่อบุข้างในของเส้นโลหิต ล้วนส่งผลให้เกิดความเสื่อมโทรมภาวะของอวัยวะต่างๆกันเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานนั่นเอง
มีการศึกษาและทำการค้นพบว่าโปรตีนที่พร้อมรับแก่การจับกุมตัวกับโมเลกุลของน้ำตาล เป็นโปรตีนคอลลาเจน (collagen)นั่นเอง
คอลลาเจนน่าจะเป็นคำที่ผู้หญิงผู้รักความสวยงามรู้จักอย่างดีเยี่ยม แม้กระนั้นอย่าคิดเพียงว่าสารนี้อยู่ที่ผิวหนังแค่นั้น
คอลลาเจนมีอยู่ทั้งยังในกระดูก กระดูกอ่อน เอ็นแล้วก็ผิวหนังเมื่อไรที่คอลลาเจนจับกับน้ำตาลก็ทำให้เยื่อแต่ละส่วนหย่อนคุณภาพ ดังพวกเราจะมองเห็นได้ว่า คนสูงวัยผิวพรรณเสื่อมความยืดหยุ่น ในเวลาที่คนเจ็บโรคเบาหวานแม้ว่าจะยังไม่แก่แต่ว่าผิวพรรณก็หย่อนคุณภาพเร็วกว่าอายุอีกด้วย
โรเบิร์ต วัวห์น (Robert Kohn) พยาธิหมอมหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์น ตั้งข้อคิดเห็นไว้ว่า “โรคเบาหวานรีบการแก่เฒ่าให้เร็วขึ้น” ซึ่งข้อคิดเห็นนี้นับวันได้รับการยินยอมรับเยอะขึ้นเรื่อยๆเหตุเพราะการจับกุมของน้ำตาลกับโปรตีนคอลลาเจนนี้เองที่ทำให้การยืดหยุ่นตัวของเยื่อลดลง ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณ ข้อต่อเส้นเลือด รวมจนกระทั่งหัวใจ
ทดลองจินตนาการว่า เส้นโลหิตของคนวัยชายหนุ่มที่มีความยืดหยุ่นสูง เมื่อรับแรงบีบตัวของหัวใจ มันก็จะยืดหดได้เป็นการซึมซับแรงกดดันเลือดจากหัวใจ ทำให้ความดันโลหิตไม่ฉีดสูงมากขึ้น
แต่ว่าหากเส้นเลือดของคนชรา เมื่อขาดความยืดหยุ่นเพราะเหตุว่าคอลลาเจนจับกับน้ำตาลเอาไว้ เวลาหัวใจบีบเลือด เส้นเลือดที่แข็งไม่สามารถที่จะซึมซับแรงกดดันดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ ก็เลยทำให้ความดันในเส้นเลือดสูงมากขึ้นกว่าธรรมดา
นี่เป็นกลไกของการเกิดความดันโลหิตสูงนั่นเอง
และจากนั้นก็ส่งผลไปถึงเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ กำเนิดโรคหัวใจขาดเลือด
ถ้าหากการแข็งตัวของคอลลาเจนเกิดขึ้นที่ปอด ก็ทำให้ปอดย่อยสลาย
ถ้ากับข้อต่อ ก็ทำให้ข้อต่อเสื่อม เอ็นไม่ยืดหดได้สักเท่าไหร่
ทั้งสิ้นล้วนเป็นโรคเสื่อมจากการที่น้ำตาลเข้าจับกับคอลลาเจนทั้งนั้น และผิวพรรณของผู้หญิงที่ถูกใจรับประทานหวานด้วย
อีกขั้นตอนหนึ่งที่ชี้แจงว่า น้ำตาลพ่วงโปรตีนส่งผลให้เกิดโรคหัวใจโดยตรง ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า น้ำตาลพ่วงโปรตีนนี้ทำให้เกิดกรรมวิธีออกซิเดชั่นกับโมเลกุลของ LDL-Chol ดังนี้ โดยที่ไขมัน LDL-Chol เมื่อถูกออกสิไดซ์แล้ว มันก็จะจับกับฝาผนังเส้นเลือดซึ่งเป็นกรรมวิธีการแรกของการเกิดเส้นโลหิตแข็ง
เจ้าสาร LDL ที่ถูกออกสิไดซ์ตัวนี้จะไม่ยินยอมถูกกำจัดออกไปจากฝาผนังเส้นเลือดกล้วยๆเมื่อวัดดูเหมือนจะพบว่าคนคนนั้นมีภาวการณ์ LDL ในเส้นโลหิตสูงขึ้นมากยิ่งกว่าธรรมดา
รวมทั้งงานศึกษาเรียนรู้วิจัยก็ศึกษาและทำการค้นพบอีกว่า LDLมีความพร้อมเพรียงรับต่อการแทงบอลออนไลน์เกิดออกซิเดชั่นเมื่อกระทบกับอนุมูลอิสระ จะมีการพ่วงจับระหว่างโมเลกุลของโปรตีนหลายโมเลกุลโดยมีน้ำตาลเป็นตัวเชื่อม (กลัยเคชั่น) แนวทางการจับกับอนุมูลออกสิเจนอิสระนี้กำเนิดได้ทั้งยังกับส่วนที่เป็นโปรตีนรวมทั้งส่วนที่เป็นไขมันในโมเลกุลลัยโปโปรตีน ซึ่งเป็นเหมือนรถบรรทุกไขมัน LDL นั่นเอง
พวกเราจะเจอ LDL ที่ถูกออกสิไดซ์ไม่น้อยเลยทีเดียวในคนที่มีเส้นเลือดแข็งทั้งๆที่เป็นผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานรวมทั้งผู้มิได้เป็นโรคเบาหวาน
แล้วก็จะเจอ LDL ออกสิไดซ์ในก้อนไขมันด้ามจับแข็งอยู่ตรงฝาผนังเส้นเลือดนั่นเอง
มีความหมายว่าน้ำตาลพ่วงโปรตีนนำไปสู่เส้นโลหิตแข็งได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวานไหมเป็นโรคเบาหวานก็ตาม
Sweet Delicious Nibble Candy Food Sugar
เพื่อคนเดินดินสามัญรู้เรื่องหัวข้อนี้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นักวิชาชีวเคมีจะชี้แจงให้ฟังว่า กรรมวิธีที่น้ำตาลพ่วงกับโปรตีน รวมทั้งกระบวนที่ LDL ถูกกระทบกับอนุมูลอิสระแล้วมีการออกซิเดชั่นขึ้นจนกระทั่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดเส้นโลหิตแข็ง
ภาพลักษณ์นี้เปรียบเหมือนไฟสุมอยู่ในระบบหมุนวนเลือดของพวกเรา ไฟยิ่งสุมอยู่นานแล้วก็ความร้อนยิ่งสูงก็ยิ่งจะมีผลให้กำเนิดความทรุดโทรมแก่เส้นเลือดเยอะขึ้นเรื่อยๆเพียงแค่นั้นและก็ขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้นได้ก็โดยอาศัยน้ำตาลในเลือดเป็นเชื้อเพลิง
เรื่องจริงข้อนี้นับวันจะเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าสโมสรเบาหวานที่อเมริกาสารภาพว่า “น้ำตาลไม่เพียงแค่เป็นเชื้อเพลิงสำหรับกรรมวิธีเคมีระยะสั้นเพียงแค่นั้น แต่ว่าน้ำตาลยังเป็นแหล่งเชื้อเพลิงระยะยาวที่สุมไฟให้มีการหมดสภาพของอวัยวะต่างๆอันเป็นภาวะแทรกซ้อนของการเป็นโรคเบาหวานในระยะยาวอีกด้วย”
ถึงนี้นักอ่านคงเริ่มตระหนักถึงอันตรายของน้ำตาลแล้วก็ผลพวงอันก่อเกิดความเสื่อมถอยภาวะของอวัยวะต่างๆอันเกิดขึ้นจากน้ำตาลในเลือดแล้ว
ความเสื่อมโทรมภาวะอันมีเหตุที่เกิดจากน้ำตาลนี้ ไม่เพียงแต่กำเนิดกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคอันมีเหตุมาจากการเผาไหม้ไม่ปกติเพียงแค่นั้น แต่ว่ากำเนิดกับมนุษย์เราทุกคนด้วย เอาง่ายๆว่า กรณีใดก็ตามที่มีน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงมากขึ้น โดยเฉพาะมักกำเนิดกับการกินหวาน ดื่มน้ำตาลฟอก รวมจนถึงดื่มน้ำตาลโมเลกุลคนเดียว (monosaccharide) ยกตัวอย่างเช่น เดกซ์โทรส หรือโมเลกุลคู่ (disaccharide) เป็นต้นว่าน้ำตาลซูโครสในน้ำอ้อย น้ำเชื่อม รวมทั้งอาหารหวานแบบต่างๆหรือเป็นน้ำตาลจากผลไม้ (fructose) อันอย่างเช่นการกินผลไม้ทุกประเภท รวมถึงน้ำผลไม้ด้วย
กลุ่มนี้ เมื่อรับประทานเข้าไปน้ำตาลจะถูกสลายตัวได้ง่ายสุดๆ มีการกระจายตัวอย่างเร็ว กำเนิดออกซิเดชั่นและก็กำเนิดอนุมูลอิสระตามมา
ในที่สุดก็กำเนิดขั้นตอนการน้ำตาลพ่วงโปรตีน นำมาซึ่งการสลายตัวของอวัยวะต่างๆอย่างเร็ว
เอาง่ายๆก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พวกเรารับประทานหวาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม ของหวานของว่าง ต่อให้ผลไม้ ล้วนแล้วแต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงมากขึ้น น้ำตาลที่เป็นเชิงคนเดียวจะถูกย่อยสลายอย่างเร็วมากมาย ก็ยิ่งทำให้มีการเกิดกรรมวิธีการเสื่อมของอวัยวะต่างๆยิ่งรวดเร็วทันใจขึ้น กลุ่มนี้เป็นเหตุให้เกิดเส้นโลหิตแข็ง ทำให้ความดันโลหิตสูง ก่อให้เส้นโลหิตหัวใจย่อยสลาย กำเนิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ถ้าสังกัดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ก็ทำให้เสี่ยงที่จะกำเนิดเส้นโลหิตสมองแตก ตีบ ตัน แปลงเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
ถ้าหากขึ้นอย่างช้าๆก็แปลงเป็นโรคอัลไซเมอร์ไปท้ายที่สุด
รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดและก็เห็นได้ชัดที่สุด ก็คือการย่อยสลายของผิวพรรณ กำเนิดรอยเท้ากาแล้วก็แก่เกินวัย
ด้วยเหตุฉะนี้ ความหวานก็เลยทำให้เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นความหวานประดิษฐ์ ดังเช่นว่า ของหวาน น้ำอัดลม น้ำหวานหรือหวานธรรมชาติได้แก่ น้ำผลไม้ รวมไปจนกระทั่งความหวานจากน้ำผึ้งก็ตาม ก็ล้วนเป็นเหตุก่อให้เกิดโรคเสื่อมได้อย่างเร็วไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นโรคเบาหวานหรือเปล่าเป็นโรคเบาหวาน
กล่าวมาถึงเรื่องของน้ำผึ้ง เวลานี้ยังมีความรู้ความสามารถไม่ถูกอยู่มากมาย เรื่องความชื่นชอบ ufabet ดื่มน้ำผึ้งโดยหลายๆคนมีความรู้สึกว่า น้ำผึ้งเป็นความหวานอย่างธรรมชาติ รับประทานไปก็ไม่ได้รับอันตรายอะไร
ประเด็นนี้เป็นความรู้ผิดเป็นอย่างมาก
ตามที่เป็นจริงแล้วน้ำผึ้งก็คือน้ำตาลนั่นเอง เป็นน้ำตาลประเภทสองโมเลกุลด้วยเหมือนกัน เมื่อรับประทานเข้าแล้วหลังจากนั้นก็กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดกระบวนออกซิเดชั่น กำเนิดกรรมวิธีการน้ำตาลพ่วงโปรตีน แล้วมีการสลายตัวของเยื่อ น้ำผึ้งก็เลยไม่ใช่สิ่งอันควรจะชื่นชมมากมายไปกว่าน้ำตาลปกติ
จะมีดีกว่านิดหน่อยก็ตรงที่มีขี้ผึ้งเจืออยู่ด้วย ช่วยทำให้ถ่ายเพียงเท่านั้น
ผมก็เลยเสนอแนะอยู่เป็นประจำว่า น้ำผึ้งไม่ใช่ขนมกินเล่น จะให้ชัดก็ควรมองดูย้อนยุคกลับไปในยุคสามก๊ก ในขณะนั้นเวลาทำศึกทำสงคราม เมื่อตัดศรีษะนายทัพคู่ปรับได้ คนที่รบชนะจะเอาหัวแม่ทัพนั้นดองน้ำผึ้งไปเครื่องบรรณาการแก่นายจ้าง เนื่องจากเยื่อที่เป็นโปรตีนเมื่อดองลงในน้ำผึ้ง ก็กำเนิดขั้นตอนการน้ำตาลพ่วงโปรตีน จับกุมเป็นเยื่อแข็งไม่บูดไม่เน่าอีกต่อไป
น้ำผึ้งก็เลยถูกใช้เหมือนฟอร์มาลินในสมัยโบราณนั่นเอง
การแพทย์แผนจีน แผนไทย จะใช้น้ำผึ้งเพียงนิดหน่อยเพื่อปั้นยาลูกกลอน เมื่อรับประทานเข้าไปจะเป็นกระสายยาช่วยการดูดซึม ก็เพียงเท่านั้น
เพราะฉะนั้น น้ำผึ้งก็เลยไม่ได้มีไว้ชงรับประทานเล่นๆจะรังแกตนเองให้แก่เร็วซะเปล่าๆ